คำถาม
1. คุณคิดว่า แนวคิดทางการศึกษาของเข้าข่ายลักษณะที่ว่า
“สวยแต่รูป จูบไม่หอม” หรือไม่
คำตอบ
เห็นด้วยกึ่งหนึ่ง
ที่ว่า การเรียนการสอนไม่ประสบผลสำเร็จเพราะเด็กนักเรียน “เข้าถึง” เนื้อหาสาระไม่ถึง
50% ของเนื้อหาในข้อสอบด้วยซ้ำไป ทั้งในห้องเรียนและที่บ้าน
เนื่องจากการประเมินผลทางการเรียนในตอนกลางภาคหรือปลายภาคนั้น
ไม่มีนักเรียนคนไหนอยากจะอ่านหนังสือสอบ ก็มีสาเหตุมาจากไม่มีครูคนใดอยากให้เกิดปัญหากับตัวเด็กเองและตัวครูเอง จึงส่งต่อเด็กที่ไม่เข้าใจเนื้อหาจากชั้นหนึ่งไปสู่อีกชั้นหนึ่ง
คำถาม
2. ตัวอย่างลักษณะการประเมินผลอย่างน้อยทุก ๆ 2 สัปดาห์ในรายวิชาหนึ่ง
บทที่ 1-5 ทดสอบย่อย 5 % (week 2)
บทที่ 6-10 ทดสอบย่อย 5 % (week 5)
บทที่ 1-10 ทดสอบกลางภาค 40 %
(week 8)
บทที่ 11-15 ทดสอบย่อย 5 % (week 11)
บทที่ 16-20 ทดสอบย่อย
5 % (week 13)
บทที่ 11-20 ทดสอบปลายภาค 40 % (week 16)
คุณคิดว่าจะใช้กับการศึกษาระดับใดได้บ้าง
เพราะเหตุใด
คำตอบ
ระดับใดก็ได้ที่รัฐสนับสนุน
ซึ่งควรจะเริ่มตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ตามความเป็นจริงนั้น การจะจัดสอบแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมาก
แต่เมื่อเทียบกับผลที่ได้รับกลับมาก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
ผลดีที่ว่าก็คือ
เด็กนักเรียนจะต้องอยู่กับบทเรียนมากขึ้นเกือบจะ 100 % โดยที่ไม่ต้องให้มีใครมาค่อยบอกกล่าวว่าให้อ่านหนังสือสอบ และทำให้เด็กค่อย ๆ
ซึมซับเนื้อหาและรู้ถึงข้อด้อยของตัวเองก่อนวันสอบจริง ๆ
แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องอาศัยหลายฝ่ายช่วยกันผลักดัน
ใครคนหนึ่งคนใดก็ไม่สามารถจะทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ และยิ่งถ้าองค์กรดังกล่าวไม่มีความเป็นอิสระมากพอในเรื่องงบประมาณในการจัดการประเมินผล
ก็คงจะพอเห็นเค้าลางของวิถีแบบเก่า ๆ นั่นเอง
คำถาม
3. เราจำเป็นจะต้องนำกรอบแนวคิดทางการเรียนรู้ของชาติตะวันตก
มาใช้เท่านั้นเหรอ แล้วแนวคิดของชาติตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น จีน หรือเกาหลี
มีอะไรที่เราสามารถนำมาปรับใช้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
คำตอบ ….
คำถาม
4. จะเป็นไปได้หรือไม่ที่คนเราสามารถจะเรียนรู้จากสิ่งหนึ่งผ่านอีกสิ่งหนึ่ง
คำตอบ
คิดว่าได้ 100 % เพราะดูได้จากโครงการหลวงต่างๆ ที่ให้ครูชาวมุสลิมสอนภาษาไทยผ่านภาษาอาหรับ
หรือภาษาถิ่นตามแต่ละท้องที่
5. จริงหรือที่ว่า การศึกษาแบบโบราณ “ดีกว่า”
แบบสมัยใหม่
ตอบ
เห็นด้วย
เพราะสมัยโบราณยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางจริง
ๆ ยกตัวอย่างเช่น นายขนมต้ม หรือขุนแผน ที่รู้ว่าตัวเองชอบวิชาด้านใดจริง ๆ
ก็ไปร่ำเรียนจนจบหลักสูตรชนิดเข้มข้นจริง ๆ แต่การศึกษายุคใหม่เอาหลักสูตรเป็นที่ตั้ง
แล้วก็ยัดเยียดสิ่งที่เด็กไม่คิดอยากจะได้เลยจริง ๆ
เอาจนเด็กไทยหล้ากับการเรียนก็หันไปพึ่งพาสิ่งยั่วเย้าต่าง ๆ อย่าลืมว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่มีใครคิดอยากจะแก้ปัญหาแบบเฉียดขาดสักคน
สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการโอนอ่อนผ่อนตาม การเป็นเช่นนี้ของเรามีข้อดีอยู่บ้างเพียงแต่ว่าผู้นำก็ต้องเป็นคนเปิดโอกาสให้แก่เราได้เดินบ้าง
ไม่ใช่กดดันกันอยู่อย่างนี้
ทางออกของเราในตอนนี้
แอนตี้กันทั้งระบบ ก็คือ หากเด็กชอบชกต่อยก็ส่งเข้าสนามมวยแต่เด็ก ๆ
ตั้งแต่เป็นเด็กทำความสะอาดค่ายฝึก จนไปถึงการเป็นโค้ช กรณีจะเป็นได้จริงหาก ประเทศไทยมี
“ครูแนะแนวที่ดี” แต่คนที่จะบอกว่าเด็กชอบหรือไม่ชอบอะไรก็คือ “พ่อแม่”
หรือคนใกล้ชิดที่สุด
ส่งเสริมแนวคิดต่อต้านระบบโรงเรียนที่มีการสอนแบบ
“ไก่ไข่” คือการสอนให้นักเรียนออกใข่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
อย่าไปเอาผู้นำที่
“ยึดติด” กับหน้าที่ทางการงาน
ผู้ปกครองที่มีความรู้ต้องออกมาร่วมกันเปลี่ยนแนวคิดให้โรงเรียนอุดมปัญญาไม่ใช่ โรงเรียนอุดมปัญหา
6.
ข้อความที่ 1 : ความรู้ที่หลากหลายไม่ทำให้คนกลายเป็นมนุษย์
หากความรู้นั้นไม่ได้สอดแทรกด้วยคุณธรรมจริยธรรม
ข้อความที่ 2 : การศึกษาเป็นสิ่งสูงค่า
อะไรที่ใช้แบ่งชนชั้นในสมัยโบราณ หากไม่ใช่ “ความรู้”
ข้อความที่ 3 :
จะเป็นไปได้หรือไม่ที่กลับไปใช้ระบบชนชั้นอย่างแต่ก่อน แล้วใครจะเป็นนาย แล้วใครจะเป็นบ่าว
คำถาม
ข้อความทั้ง 3 ข้างต้นต้องการสะท้อนแนวคิดเช่นใดกับการศึกษาไทย
เพราะเหตุใด